วีดิโอธรรม

ตายิ้มใจยิ้มเพราะเข้าใจธรรม   ศาสดาผู้หมดกิเลส  ได้วางเหตุ  ทุกข์จึงหมดลง  ผลแห่งทุกข์จึงไม่มี  เรื่องราวก็หายไป  มีเพียงความรู้สึกกับธรรมที่เบิกบาน  ตายิ้มใจยิ้ม  เพราะเข้าใจธรรม  ธรรมคือความจริงที่ต้องอาศัยสภาพที่มีที่รู้  สิ่งที่มีสิ่งที่รู้  ก็ต้องอาศัยสมมุติภาษาเพื่อนำมาอธิบาย  ตำราที่มีอยู่ในตอนนี้  ก็มีเขียนเอาไว้ในหลักความเชื่อ  ที่ศาสดาบอกว่า  "อย่าเชื่อกับอะไร  โดยที่ตนเองยังไม่ได้พิสูจน์"  ความซับซ้อนในเรื่องความจริงของธรรม  ขณะนี้ได้ถูกเชื่อมโยงให้เชื่อตามๆกันมา  ธรรมจึงเป็นเรื่องราวความเชื่อที่มีอยู่เช่นนี้  ท่านผู้เจริญ  ท่านผู้มากปัญญาทั้งหลาย  อย่าหลงเชื่อกับสมมุติภาษาที่ปรุงแต่งตรงนี้  แม้แต่ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังต้องอาศัยพึ่งพาสมมุติในการแสดงธรรม  สมมุติจึงเป็นสมบัติของโลกที่ทุกชีวิตได้พึ่งพาอาศัยเท่านั้น  ไม่มีใครจะทิ้งสมมุติลงได้จริงๆ  ภาษาจึงเป็นต้นเหตุ  ที่ท่านต้องอาศัยเหตุ  เพื่อพิจารณาในผลที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่  ผลก็คือกิเลส  ที่เธอต้องใช้กิเลสให้ถูก  ใช้ให้เป็น  เพื่อวางต้นเหตุ  ทุกข์จึงหมดลง


...โชคดี...%

วิถีทาง วิถีธรรม สู่ความสงบร่มเย็น   เพราะไม่รู้จึงอยากจะรู้  แต่ไม่รู้เห็นเองไม่ได้  จึงต้องออกค้นหาด้วยความอยาก  อยากจะรู้หนทางวิถีทางเพื่อดับทุกข์  ยิ่งอยากก็ยิ่งเพิ่มทุกข์  ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ผู้หมดทุกข์  ก่อนที่เขาจะได้เป็นศาสดาเอก  เขาเองก็ออกค้นหาทางด้วยตนเองตามลำพัง  หาวิถีทางของตนเองจนได้พบวิถีธรรมนำสู่ความสงบร่มเย็นด้วยตนเอง  ผู้บรรยายเองก็ไม่รู้  จึงต้องแสวงหารู้เพื่อดับทุกข์  รู้เท่าไหร่ก็ไปไม่รอดยิ่งรู้ก็ยิ่งทุกข์  จนครูของผู้บรรยายได้บอกทางให้  "มึงค้นหาตนเองให้เจอ"  ภาษาคนที่พูดง่าย  แต่ฟังแล้วไม่ง่าย  "เพราะไม่รู้"  ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นค้นหาจากอะไร  จึงต้องลองทุกอย่างในการค้นหาทาง เพื่อเข้าสู่ธรรมที่จะนำตนเองออกจากทุกข์พบความสงบร่มเย็น  สิ่งที่ได้พบจึงเป็นสิ่งที่รู้เฉพาะตนเอง  สอนใครไม่ได้  เพียงแค่ชี้  และสะกิดให้ดูเป็นแนวทางเท่านั้น  เพราะความสงบร่มเย็นนั้นมีอยู่คู่กับชีวิตทุกชีวิตอยู่แล้ว  ที่ทุกคนจะต้องเริ่มค้นหาด้วยตนเอง  หาทางให้เจอก็จะพบธรรมนำไปสู่ความสงบร่มเย็นตลอดกาล


...โชคดี...%

อยากสำเร็จธรรม  ต้องหลอกธรรมชาติให้เนียน   เมื่อพวกเธอได้พยายามค้นหาตนเองได้แล้ว  ก็ต้องลองหลอกธรรมชาติให้เนียน  เพื่อเข้าสู่เป้าหมายความสำเร็จด้วยตนเอง  จงจำเอาไว้ว่า  ตนเป็นที่พึ่งของตน  การหลอกธรรมชาติให้เนียนได้นั้น  พวกเธอทุกคนจะต้องใช้วิถีทางวิถีธรรมตนเอง  ความจริงที่เป็นเธอ  ความเข้าใจที่เธอเข้าใจเกิดเป็นรู้ที่รู้เฉพาะตน  รู้เท่าทันต่อสิ่งที่เข้ามากระทบ  จงใช้สิ่งที่เป็นเธอที่เข้าใจธรรมชาติตนเอง  พยายามไตร่ตรองอย่างรอบคอบด้วยความระมัดระวังไม่ประมาท  อย่าหลงรู้ให้เพิ่มขึ้นอีก  เพราะรู้อะไรไม่ใช่เธอ  แม้ในอดีตที่เธอเคยหลงใหลกับรู้  ยึดกับรู้  เชื่อในรู้  รู้มันช่วยเธอไม่ได้  สิ่งรู้คือสิ่งที่มีตามกระแสน้ำ  รู้ที่มีขึ้นแล้วจึงไหลเวียนไม่หมดลง  เมื่อรู้ขึ้นแล้วเธอจึงทำอะไรไม่ได้  เพราะยิ่งทำก็จะยิ่งรู้ยิ่งมีเพิ่ม  นำเธอเข้าไปสู่ความเชื่อแบบเดิม  ความเชื่อจึงเป็นสิ่งที่มีคู่โลก  เปรียบดั่งกระแสน้ำที่ไหลวนมีกำลังมากเธอมีหน้าที่ที่ต้องว่ายทวนกระแสน้ำเพื่อหลุดออกไปจากสิ่งที่หมุนวน  ปล่อยรู้ที่เชื่อให้ดำเนินไป  รู้อะไรไม่ใช่เธอ  เธอคือผู้ไม่รู้  ก็ง่ายๆแค่นี้เอง


...โชคดี...%

สำเร็จธรรมเป็นเรื่อง่าย  เมื่อเข้าใจทางตนเอง   ธรรมคืออะไร  พวกเธอได้เข้าใจอะไรกับธรรม  ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่เพียงกล่าวลอยๆเอาไว้ก่อนจะลาจากไป  "ธรรมจะเป็นตัวแทนศาสดาสืบไป"  มีใครบ้างที่ค้นหาได้เจอกับธรรมตนเอง  โดยคนส่วนมากจะยึดติดกับภาษาธรรม  หลงอยู่กับโลกธรรม  ยึดมั่นถือมั่นผูกรัดจนดิ้นไม่หลุด  หากจะบอกว่าความสำเร็จเป็นเรื่องง่าย  ก็คงต้องอธิบายกันยาวนาน  ยิ่งอธิบายก็ยิ่งมีเรื่องราวไม่หมดลง  หากอยากจะพบความสำเร็จด้วยตนเองได้แท้จริง  ก็ต้องมีความพยายามอดทน  วางสมมุติที่เชื่อกับภาษาลงก่อน  ใช้ความรู้สึกที่บอกให้ปักหมุดเอาไว้ในแก่นแบบลอยๆ  ใช้ความรู้สึกตรงนี้ของเธอย้อนทวนย้อนคิดให้ถี่ถ้วน  เข้าใจทางตนเองให้ได้เสียก่อน  เมื่อเห็นทางตนเองได้ก็จะเริ่มเข้าใจได้เองในธรรม  ธรรมที่เป็นธรรมชาติตนเอง  ความเป็นเดิมแท้ของความรู้สึกที่มีอิสระอยู่ตลอดเวลา  ไม่มี  ไม่รู้อะไรที่ผูกมัดตนเอง  มีเพียงการพึ่งพาอาศัยความจริงที่มีที่รู้ของโลกร่วมกันเท่านั้น  เห็นได้เท่านี้ก็พบความสำเร็จที่ง่ายๆ   เท่านี้เอง


...โชคดี...%

ผลลัพธ์สำคัญกว่าวิธีการ   ความคิดที่มีผู้สอนกันไว้มาก  เสมือนว่าเป็นคำคมที่เฉียบแหลม  ใครได้ยิน  ใครได้ยินใครได้ฟังต่างก็ชื่นชอบ  ภาษาที่เหมือนเป็นอุบาย  อุบายที่นำไปสู่วิธีการจนหลงใหล  ยึดมั่น  ยึดติด  ผูกรัดตนเองมาทั้งชีวิต  มนุษย์คือสัตว์โลกชนิดหนึ่งที่พร้อมน้อมรับ  ยินยอม  เพื่อความอยาก  เหมือนประโยคภาษาที่โดนใจ  ฟังกันจนคุ้นชิน  เรื่องความคิด  เช่นอย่าคิด  ความคิดไม่เคยมีอยู่จริง  เหมือนมีผู้รู้ได้พูดไว้มากจนตนเองสิ้นคิดได้  คนฟังเมื่อได้ยินได้ฟังก็อยากจะสิ้นคิดบ้าง  จึงหลงติดอยู่กับวิธีการ  เข้าไปยึดติดกับภาษาของเขา  มองเห็นไม่ทันว่าตนนั้นหลงติดอยู่ในวิธีการเข้าแล้ว  ผลลัพธ์ที่เชื่อเอาไว้จนเข้าใจได้  เธอได้เข้าใจอะไรแท้จริงในทางตนเอง  หยุดได้หรือยัง  พอหรือยังกับความหลงผิดที่ยึดติดหลงเชื่ออยู่กับวิธีการของเขา  ย้อนกลับมามองความจริงตนเองได้หรือยัง  กลับมาค้นหาตนเองให้เจอ  เมื่อเจอก็เห็นผลลัพธ์ได้แท้จริง  ผลลัพธ์ไม่ใช่วิธีการที่เคยยึดมั่นถือมั่น  เห็นได้เองก็เข้าถึงได้  ประจักษ์แจ้งได้  ความสำเร็จก็มีกับเธอที่ได้เห็นผลลัพธ์แท้จริงของตนเอง  ไม่ใช่วิธีการความเชื่อ   ที่เชื่อตามใคร


...โชคดี...%

สิ่งรู้ที่รู้ก็ไม่มี  สิ่งมีที่ไม่เคยหมดลง  ความดั้งเดิมในความรู้สึกของชีวิตทุกชีวิตมีเท่ากัน  ต่างกันตรงที่ใครจะมีความกระตือรือร้น  ค้นหาความจริง  ใช้ความเพียร  และความอดทนของตนเองจนสามารถเข้าใจ  หยั่งลึกลงได้ในธรรมชาติของสิ่งที่รู้  แต่รู้ก็ไม่มี  เหมือนยอมจำนนหยุดดิ้นรน  ยอมเผชิญอยู่กับความมืดที่รู้  ความมืดคือความจริงที่อธิบายไม่ได้  ปรุงแต่งไม่ได้  เป็นความดั้งเดิมของชีวิตทุกชีวิตที่ปรารถนานิพพานพ้นทุกข์  แต่ติดอยู่กับความสว่างที่มองเห็น  อยากรู้  อยากเห็น  อยากเข้าใจในความสว่าง  ความสว่างจึงเหมือนแก้วใสที่ครอบงำตนเองเอาไว้  ให้ติดอยู่ในสิ่งมีที่ไม่เคยหมดลง  ติดกับที่เห็นที่รู้  รู้จึงมีเรื่องราว  เรื่องราวที่มีนั้น  เธอก็เห็นไม่ทันว่า  รู้ตรงนั้นได้ผันแปรผ่านไปแล้ว   ชีวิตเกือบร้อยทั้งร้อยจะติดอยู่กับความพอใจ  ยินดีกับรู้  รู้จึงเป็นทุกข์  ทุกข์เพราะเห็นเองไม่ทัน  ว่าสิ่งมีนั้นได้ผันแปรหมดสิ้นลงแล้ว  ความสว่างจึงเป็นสิ่งที่มีที่ไม่เคยหมดลง  ใครเป็นเจ้าของไม่ได้  ใครเห็นได้เองก็จะเข้าใจได้เอง  วางลงได้เอง  เรื่องราวก็หมดลง  ง่ายๆ


...โชคดี...%

เกิดแก่เจ็บตาย  วงเวียนชีวิต   ชีวิตที่ต้องหมุนวนจนต้องพบกับการเกิดใหม่ที่เป็นทุกข์  พบความเจ็บป่วยที่เป็นทุกข์  พบความตายที่เป็นทุกข์  ความจริงของชีวิตทุกชีวิตที่ต้องพบต้องเผชิญ  ไม่มีใครจะหนีรอดออกมาได้จากวงเวียนชีวิตตนเอง  มนุษย์คือคนที่มีจำนวนเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับสัตว์ที่มีชีวิตจำนวนมาก  แต่ทุกชีวิตนั้นก็ต้องพบกับจุดเริ่มที่เกิดใหม่  และจุดจบที่ตายลง  หมุนวนเป็นวงเวียนชีวิตใครชีวิตมัน  เราเกิด  และตายมานานขนาดไหน  ในอดีตกาล  ก่อนยุคที่จะมีศาสดา  มีชายผู้ยิ่งใหญ่  ที่ต้องการจะหลุดพ้นออกจากวงเวียนชีวิต  เขาค้นหาหนทางอยู่ 6 ปี  จนพบหนทางด้วยตนเอง  หลุดพ้นออกมาจากวงเวียนชีวิตได้  และใช้ชีวิตดำเนินต่อไปอีก 45 ปี  พยายามบอกหนทางให้สัตว์โลกเดินตาม  ค้นหาความจริงด้วยตนเอง  จนวาระสุดท้าย  เขาต้องตาย  ได้กล่าวภาษาลอยๆเอาไว้เพียงว่า  "ธรรม"  จะเป็นตัวแทนของเขาสืบไป


...โชคดี...%

ธรรมสูงสุดมีเพียงเท่านี้  (สิ่งที่หมดก็คือหมด  ไม่มีเรื่องราว)   นักเดินทางที่ต้องการอิสระคงจะต้องฟังกันให้มากๆ  ฟังกันบ่อยๆ  ค่อยๆทำความเข้าใจกับความรู้สึกตนเอง  การชี้ในสิ่งนี้นั้น  เพียงให้พวกเธอได้ทำความเข้าใจกับความจริงของใครของมันเท่านั้น  การค้นหาตนเองสู่ผลลัพธ์ความสำเร็จ  ความสำเร็จจึงไม่ใช่วิธีการเดิมที่เชื่อกัน  และลอกกัน  ขอเพียงเธอหยั่งลึกลงได้ในความจริงตนเอง  ได้เห็นเอง  เข้าใจเอง  ประจักษ์เอง  ความแตกฉานย่อมมีกับเธอเอง...ความสำเร็จก็มีกับเธอ  มีแค่นี้ง่ายๆ


...โชคดี...%

โลภโกรธหลง สามตัวแสบที่หลอกเธอ   ธรรมที่มีผู้สอนกันเอาไว้มาก  จนพวกเธอเกิดความพอใจ  ความพอใจจึงเกิดกิเลสสามตัวที่คอยหลอกหลอนเธอ  ครอบชีวิตเธอเอาไว้  ความหลงจึงนำเธอไปสู่ความโลภ  เกิดเป็นตัณหาขึ้นใหม่จนเธอไม่รู้สึกตัว  สุดท้ายความหลง  และความโลภของคน   ก็จะนำตนเองไปสู่ความโกรธที่ปรุงแต่งขึ้นเอง  หมุนวนเป็นวงกลม  เกิดเป็นความพอใจเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา  ทั้งความโกรธ  และความรักก็เริ่มต้นจากความพอใจที่เป็นจุดเริ่ม  สิ่งนี้จึงเห็นได้ยาก  เพราะสามตัวแสบที่คอยหลอกเธอมาตลอด  กับสิ่งที่ได้ยิน  กับสิ่งที่เห็น  โลภโกรธหลงจะผูกรัดเธอกับโลกของธรรมทันที  เกิดเป็นธรรมะของกูในใจตนเอง  ธรรมที่ยึดมั่นถือมั่น  จึงเต็มไปด้วยสารปนเปื้อน  จนไม่สามารถแยกแยะได้เองแล้ว  มันยากที่ใครจะทำใจยอมรับความจริงตนเองได้  "รู้อะไรไม่ใช่เธอ"  ทางที่เป็นกลาง  ไม่มีเจ้าของ


...โชคดี...%

ธรรมไม่ใช่ความพอใจ  ธรรมคือความพอเพียง   การพึ่งพาสมมุติมาปรุงแต่งภาษาคนก็คือสิ่งที่มีอยู่  เพื่อนำมาชี้และสะกิดให้ทุกคนได้เห็นกับธรรมชาติความรู้สึกที่แท้จริงนั้นเป็นสิ่งยาก  เพราะทุกคนได้ติดกับดักกับความพอใจไว้แล้ว  จนไม่สามารถเห็นได้เองว่า  ความพอใจนั้นเป็นเหตุ  ที่ทำให้เราหลงติดกับกิเลสตนเอง  "ธรรมเป็นเพียงที่อาศัย  ไม่มีเจ้าของ"  ความพอใจจึงไม่ใช่ธรรม  ความพอเพียงนั้นคือธรรม  ธรรมที่เป็นธรรมชาติชีวิต  ที่เพียบพร้อมด้วยวิหารธรรม  มีเมตตาที่ให้โดยไม่หวังผล  มีกรุณาที่ต้องการให้ความจริง  มีมุทิตาคือความสำเร็จ  ยินดีในสิ่งที่ได้ให้แล้วด้วยกำลังใจตนเอง  อุเบกขาจึงเกิดขึ้นเองในใจ  เพราะไม่มีอุปาทานมาลวงใจตนเอง  ความยึดมั่นถือมั่นผูกรัดที่เป็นเหตุ  นำมาสู่ผลที่ความพอใจ  ไหลลงสู่กิเลสด้วยความหลง  ความหลง  นำมาสู่ความโลภ  เมื่อโลภก็เกิดตัณหาตามมา  นำไปสู่ความโกรธ  ความพอใจที่หมุนวนจบไม่ลงเป็นอยู่เช่นนี้  ไม่เคยหมดลง


...โชคดี...%

เห็นแจ้งก็ใช่ว่าจะหมดลง   การชี้และสะกิดให้พวกเธอทำความเข้าใจกับเรื่องราวตนเอง  ที่เธอจะต้องเห็นเองในสภาพธรรมแบบของใครของมันนั้น  ไม่ใช่สิ่งที่จะอธิบายได้ง่ายๆเลย  "เห็นแจ้ง"  ที่ใช้เป็นหัวเรื่อง  จึงมีคำและภาษาที่ซับซ้อนอยู่มาก  จึงต้องอาศัยภาพของจริงในธรรมชาตินำมาประกอบให้พวกเธอลองใช้วิจารณญาณเป็นเครื่องมือในการสังเกตแบบของใครของมัน  คำที่ว่า  "เห็นแจ้งก็ใช่ว่าจะหมดลง"  คำที่ว่า  "ใช่ว่าจะหมดลง"  ยังเป็นสิ่งที่มีที่เห็นได้ยาก  ซึ่งผูกรัดเธอเอาไว้  ตรงนี้นั้นยากที่จะอธิบาย  เพราะสิ่งที่จะหมดลงแท้จริง  กลับกลายเป็นสิ่งที่เธอได้เห็น  "ในรู้แจ้ง"  ภาษาคือคำสมมุติ  คำสมมุติคือคำโกหก  คำโกหกคือสิ่งที่จะทำให้เธอหลงติดอยู่กับคำโกหกเหล่านี้อีก  ความดับสิ้นจึงไม่หมดลง  เพราะทั้งคำว่าเห็นแจ้ง  และรู้แจ้ง  ก็ยังเป็นคำที่เราโกหกพวกเธออยู่นั่นเอง  สิ่งที่จะดับสิ้นจนหมดลงได้ของการปรุงแต่งคือสิ่งที่ไม่มีไม่รู้  เป็นเดิมแท้ของทุกชีวิต


...โชคดี...%

หลงรู้  แต่ตัวเราไม่รู้  ธรรมแท้เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้  คำและภาษาที่พวกเธอได้รับฟังกันอยู่บ่อยมาก  เช่นคำว่า "สมมุติ" กับ "วิมุตติ"  เสมือนว่า  สมมุติ นั้น ไม่มีอยู่จริง  แต่ต้องอาศัยสมมุติเพื่อเข้าไปถึงวิมุตติ  เพราะวิมุตติคือการหลุดพ้น  พวกเธอก็ฟังเรื่องราวภาษาแบบนี้กันมาทั้งชีวิตแล้ว  ทำไมพวกเธอถึงยังไม่วิมุตติหลุดพ้นออกไปจากภาษาตรงนี้กันเสียที  บางทีเราเองก็ต้องคอยมาย้ำเตือนพวกเธอบ่อยๆว่าจงระวังกิเลสในใจเธอมันจะพาเธอหลงทาง  หลงแล้วก็จะอวดรู้ตามภาษาขึ้นเองอีก  เหมือนหัวข้อเรื่องนี้  หลงรู้  แต่ตัวเราไม่รู้  เธอบางคนที่ได้อ่านบันทึกการเดินทางของเรา  ก่อนที่จะได้ไปพบอิสระที่แท้จริง  เธอคงจะเห็นความฟุ้งซ่านของเรา  ก็ไม่ต่างอะไรกับเธอในตอนนี้เลย  ที่ยึดมั่นถือมั่นกับภาษาที่มีแบบนี้ก็ขอเตือนพวกเธอเอาไว้ว่า  สมมุติ  และวิมุตติ  ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ถูกที่ตรง  เพราะทั้งสองคำนั้นยังปรุงแต่งกันเองอยู่  อย่าหลงไปรู้กับมันอีก  เดี๋ยวจะนำมาอวดกันเองแบบในโลกทุกวันนี้


...โชคดี...%

ศาสดาเป็นเพียงผู้บอกทาง   ศาสดาท่านได้บอกอะไร  ธรรม และวินัยคือตัวแทนเขาสืบไป  ทุกคนจะต้องค้นหาให้เจอด้วยตนเอง  ความเข้าใจในตำราที่ทุกคนจะคาดเดาได้ก็อาจจะโยงมาสู่อริยมรรคแปด  เป็นทางสายกลาง  หรือหนทางดับทุกข์  แต่มีสิ่งหนึ่งในใจที่พวกเธอไม่เคยเอะใจได้เองเลยก็คือ  ตำราคือความเชื่อ  ศาสดาไม่ได้ยกย่องบอกให้ใครเชื่อกับอะไร  ทุกสิ่งทุกอย่างก่อนจะเชื่อ  ทุกคนจะต้องน้อมนำเข้ามาในใจ  เพื่อพิสูจน์ค้นหาความจริงด้วยตนเองกับสิ่งที่ได้ยินได้เห็น  ความจริงที่ถูกต้องคือ  ได้เห็นประจักษ์ด้วยตนเอง  ละเว้นความพอใจที่ยังนึกคิดเอาเอง  ไม่กล่าวอ้าง  โอ้อวด  ยกตนด้วยคำโกหก  เพ้อเจ้อ  ไม่เบียดเบียน  ลักขโมย  หาประโยชน์จากผู้ที่ด้อยกว่า  มีความซื่อสัตย์ยุติธรรมเป็นที่ตั้ง  อดทนอดกลั้นด้วยความเพียร  ค้นหาวิถีทางตนเอง  รู้สึกตัวอยู่เสมอไม่ให้ความฟุ้งซ่านครอบงำ  ฝึกฝนค้นหาความจริงในวิถีธรรมตนเอง  อริยมรรคแปด  จึงไม่ใช่สิ่งที่ท่องจำเอาไว้  แต่เป็นทางสายกลางในความรู้สึกที่ต้องเห็นได้ด้วยตนเอง  เกิดรู้ที่รู้เฉพาะตน  ทุกข์จึงจะหมดลงได้


...โชคดี...%

เธอคือนิพพาน   ท่านผู้เจริญทั้งหลาย  ท่านจะเชื่อหรือไม่ว่า  แท้ที่สุดของความจริงในชีวิตที่ท่านเองได้พยายามแสวงหาธรรมเพื่อการหลุดพ้นมาตลอดเวลา  ความต้องการอยากจะไปนิพพานด้วยตนเองที่มีมาทั้งชีวิต  แต่ก็ไปไม่ถึงเพราะไม่รู้  จึงค้นหารู้  แสวงหารู้มาทั้งชีวิตก็ยังหาไม่พบไม่เจอกับนิพพานที่รู้  หากผู้บรรยายจะบอกความจริงว่า  "เธอคือนิพพาน"  พวกท่านจะยอมเชื่อ  และยอมรับฟังการชี้  และสะกิดแบบตรงไปตรงมาของเราได้จริงๆหรือเปล่า  นิพพานนั้นก็คือเธอ  เธอคือนิพพาน  เมื่อลองย้อนมองความจริงตนเองได้  ก็พบนิพพานได้แบบเหลือเชื่อ  เพราะไม่รู้คือสิ่งที่เป็นเธอ  เธอคือนิพพานที่ไม่รู้  ส่วนใครที่รู้นิพพาน  นำมาเล่า  ผู้นั้นย่อมไปไม่ถึง  เพราะรู้มันขวางเขาไว้  เธอเห็นได้ทันหรือเปล่าว่า  หนทางพระนิพพานไม่ได้ห่างไกลจากเธอเลยอยู่ที่ใจของเธอ  เพราะเธอคือนิพพานที่ว่างทุกข์  เรื่องราวที่หมดลง  ง่ายๆจนเหลือเชื่อ 


...โชคดี...%

ธรรมเป็นสิ่งที่ผันแปร   ท่านทั้งหลายคงจะเคยได้ยินภาษาที่ว่า  "อยู่กับปัจจุบัน" ปัจจุบันความรู้สึกจึงเป็นสิ่งที่พวกท่านยังยึดมั่นถือมั่นอยู่  ธรรมเป็นสิ่งที่ผันแปร  คำว่าปัจจุบันจึงซ้อนปัจจุบัน  ข้ามปัจจุบันตนเองมาแล้ว  ปัจจุบันของความรู้สึกจึงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะยึดมั่นเอาไว้  เรื่องราวตรงนี้คงต้องขยายความด้วยการชี้  และสะกิดให้เห็นในความรู้สึกของพวกเธอ  ซึ่งเป็นบุคคลที่ใกล้ชิด  และติดตามผู้บรรยาย  เรานั้นก็ได้รับความเมตตาจากครู  ครูหรือพี่ผู้ให้ด้วยใจแท้จริง  เป็นครูที่คอยชี้บอกทางให้เรามาตลอดเวลา  จนพบความสำเร็จประโยชน์ด้วยตนเอง  โดยเฉพาะเรื่อง  มึงค้นหาตนเองให้เจอ  เจอตนเองก็ใช้สิ่งนั้นหลอกธรรมชาติให้เนียน  อีกเรื่องคือ  แก่นพุทธศาสน์คือไม่เกิด  สำเร็จได้ด้วยความเข้าใจเท่านั้น  สองสิ่งนี้คือเรื่องราวที่ผู้บรรยายค้นหาบนเส้นทางตนเอง  จนได้เห็นความเชื่อมโยงของธรรมที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ  เพราะธรรมเป็นสิ่งที่ผันแปร  จงตั้งใจรับฟัง


...โชคดี...%