เสียงธรรม10

รู้แล้วเป็นภาระ ยิ่งรู้ก็ยิ่งทุกข์   ชอบใช่ไหมล่ะกับ  รู้   ไม่ยอมฟังกันบ้างเลยว่า  ไม่รู้  นั้นก็ดีอยู่แล้ว   มาดูสมมุติรู้  ที่ชอบ และไม่ชอบ  ที่ตนเองก็เชื่อเอาไว้  กับสิ่งปรุงแต่งที่เขาปรุงแต่งเอาไว้ให้เธอรู้  แต่เธอเห็นเองไม่ได้   เพราะมีรู้ที่มีเธอเป็นผู้รู้  ขวางตนเองเอาไว้อยู่   รู้ที่รู้ของเธอจึงเกิดเป็นภาระ  ยิ่งรู้ก็ยิ่งทุกข์   เตรียมเก็บกระเป๋าทำใจยอมรับไม่ได้เพราะรู้   ขอย้ายหนีออกจากห้องนี้ดีกว่ากับรู้ที่ปรุงแต่งฉิบหาย   ใครจะหนีออกไปก็เชิญตามสบาย  เดี๋ยวก็รู้ตนเอง    ว่ายิ่งรู้  ก็ยิ่งทุกข์  แต่ไม่รู้ก็เห็นเองไม่ได้   ติดในรู้ที่ปรุงแต่งเอาเอง  ไม่รู้ก็ดีอยู่แล้ว  แต่ไม่ฟัง  รับไม่ได้กับการปรุงแต่งสมมุติที่ชี้ให้ดู   ดันเกิดมีรู้ซ้อนรู้ตนเองเข้าอีก  ก็คงโบกลา  ตัวใครตัวมัน


...โชคดี...%

สมมุติที่มีตนเองขึ้นมา จึงลืมตนหลงตัว   รูปทรงที่เธอได้อาศัยอยู่ขณะนี้  เป็นสิ่งสมมุติให้มีเธอเท่านั้น  รูปทรงของเธอนั้น  จึงเปรียบเสมือนโลกโลกหนึ่ง  ที่มีผู้อยู่อาศัยร่วมกันมากมาย  มีชีวิต  มีความรู้สึก  และมีรูปทรงที่หลากหลาย  ได้อาศัยอยู่ร่วมกันภายในรูปทรงนั้น  มีความผันแปรของรูปทรงที่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงมาตลอด   ไม่มีใครได้เป็นเจ้าของในสิ่งที่ผันแปรได้เลย   เธอลืมตนหลงตัว  คิดเอาเองว่ารูปทรงนั้นคือเธอจริงๆ   หลงว่าเป็นเจ้าของ  ลืมว่าเป็นเพียงผู้อาศัย  ยึดมั่นเอาไว้ว่านี้รูปทรงเธอ  จึงติดอยู่ในกับดักสมมุติที่คิดเอาเอง   การเดินทางที่ต้องการหลุดพ้นจึงไม่ได้หลุดพ้นไปไหน   ติดอยู่ในวังวนความคิด  ติดอยู่กับรูป  ติดอยู่กับโลกที่เธอคิดได้   โลกที่คิดได้จึงปรุงแต่งได้  สมมุติจึงเกิดมีเรื่องราวขึ้นมาจริงๆ   ใช้ภาษาแทนความรู้สึก  โลกที่คิดได้อยู่จึงยังเป็นสิ่งที่มี  ที่รู้   เมื่อรู้จึงมี ไม่หมดไปไหน  การหลุดพ้นจึงไม่ใช่ภาษาคน   ภาษาสมมุติที่เธอคิดขึ้นเองจนเกิดอุปาทานหลอกตนเอง  ว่าหมดสงสัยหลุดพ้นแล้ว  แต่ก็ยังมีรู้อยู่  รู้สมมุติที่มีตนเองขึ้นมา


...โชคดี...%

ธรรมไม่ใช่ภาษา เมื่อภาษาหายไปปรุงแต่งจึงไม่มี   สมมุติที่เราเข้าใจได้นั้นคือภาษา  สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ เหมือนว่าภาษาสมมุติที่เข้าใจได้หายไป  เธอคงจะแปลกใจ   เพราะสิ่งที่เห็นอยู่ในขณะนี้นั้น  เธออ่านไม่รู้เรื่อง  ปรุงแต่งต่อก็ไม่ได้  งงไปเลยก็มี   บางคนอาจจะนึกคิดแทนคนทำอยู่ก็ได้ว่า  กำลังจะสื่อภาษาอะไร  อ่านไม่เห็นจะเข้าใจ   อย่าแปลกใจกันเลย  คนทำ คนพูด  เขากำลังจะบอกความจริง ที่ไม่มีภาษาธรรม   ธรรม   คำนี้นั้นจึงอธิบายไม่ได้  รู้ได้เฉพาะตน   

ลองรับฟังเรื่องราวที่ผู้พูดเขาพยายามจะชี้ให้ดูในความรู้สึกภายในของเธอ  ที่ต้องใช้ความรู้สึกของตนเท่านั้น   ตามมาดูความจริงที่ว่า  ธรรมไม่ใช่ภาษา  เมื่อภาษาหายไป  คำว่าธรรมจึงไม่มี  ปรุงแต่งไม่ได้


...โชคดี...%

ธรรมเป็นเพียงสิ่งรู้ ปรุงแต่งไม่ได้   ทำไมจึงปรุงแต่งไม่ได้ล่ะ   ก็ธรรมนั้นไม่เคยมีอยู่จริงๆ  ที่ไม่มีอยู่จริงก็เพราะว่า  ธรรมนั้นเป็นสิ่งสมมุติให้มีขึ้นตามภาษาคน  ที่ทุกคนต้องเข้าใจภาษาคนเอาไว้ก่อน   การชี้ให้ดูว่าธรรมแท้เป็นเพียงสิ่งรู้ที่รู้ของใครของมัน เหมือนเสียงตามสภาพธรรมชาติ  ที่เธอเองได้ยินอยู่  รู้อยู่  แต่ไม่มีภาษา   เมื่อภาษาไม่มี  การปรุงแต่งของเธอก็หายไป  อุปมาเป็นเพียงสิ่งรู้ที่รู้เข้ามากระทบกับความรู้สึก  ความรู้สึกของเธอที่รู้อยู่ตรงนี้คือธรรมตนเอง  ที่รู้ถึงสิ่งที่ได้ยินแต่ปรุงแต่งอะไรไม่ได้  สิ่งรู้ที่รู้ในขณะหนึ่งจึงมีขึ้น  แต่เหมือนไม่มีเรื่องราวที่ปรุงแต่ง  สิ่งตรงนี้นี่เองที่เธอต้องเข้ามาดูธรรมของเธอ   ธรรมแท้  ที่ไม่มีภาษาคน  เป็นธรรมชาติเดิมแท้ที่มี  ที่เป็นที่อาศัยพึ่งพาร่วมกันกับชีวิต  และความรู้สึกของรูปทรงที่อาศัย  ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไรได้เลย


...โชคดี...%

รู้ธรรมคือธรรมที่เธอรู้ขึ้นเอง    การที่เธอกล้า ยอมรับกับตนเองว่าเป็นผู้สงสัย  เหมือนสงสัยว่า  หมดสงสัย  คืออย่างไร  ภาษาที่เธอได้ถามกับตนเองแบบนี้  เป็นสิ่งที่ดีงาม  ความรู้สึกที่มันย้อนกลับด้านของตนเองในคำถามตรงนี้นั้น  คือธรรมที่เธอรู้ขึ้นเอง  เป็นการเริ่มต้นค้นหาสัจธรรมของเธอ  กับภาษาที่เธอรู้  คือ  รู้ธรรมตามโลก ตามภาษาตรงนี้  ที่ทำให้เธอเกิดคำถาม  เกิดมีรู้ที่ซ้อนความรู้สึกของเธอ  แต่เป็นรู้ในธรรมชาติของเธอเอง  เหมือนรู้ทางของตนเอง  แต่ยังหาทางกลับไปสู้ทางเส้นนี้ยังไม่ได้ในตอนนี้  การเริ่มต้นที่ดีของเธอ  ที่รู้ธรรมคือธรรมที่เธอรู้ขึ้นเอง  ที่เคยจำอยู่แต่ไม่ลอกใคร  ยังยึดทางตนเองเอาไว้  เธอมีโอกาสแน่นอน  ไม่ต้องเร่งไม่ต้องรีบ รอ  มีความหวัง  รอโอกาส  ค่อยๆส่องธรรมที่เธอรู้ขึ้นเองในธรรมชาติแบบนี้ไปเรื่อยๆ  ความสงบร่มเย็นย่อมเกิดกับเธอ  ผู้ได้เข้าใจ  และเห็นธรรมตนเอง


...โชคดี...%

ภาระตนเองคือวิปัสสนาญาณ   เธอต้องกล้าเผชิญกับสิ่งที่เธอสร้าง  ที่เธอทำมา   จงใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อเป็นแนวทางตนเอง   ภาระของเธอคือวิปัสสนาญาณที่มีอยู่ตามธรรมชาติ  การค้นหาตนเองนั้นต้องดำเนินควบคู่ไปกับภาระที่มีของเธอแบบโลก  ที่เธอได้สร้างได้ทำเอาไว้   จงพึ่งพาอาศัยตนเองในสิ่งเหล่านี้ที่ผูกรัดตนเองอยู่   เธอต้องแก้ไขเงื่อนปมตรงนี้ออกมาด้วยตนเอง   วิปัสสนานั้นคือการเห็นรอบความจริงของเธอที่ต้องเผชิญ   ญาณ   คือสิ่งรู้ที่ได้เข้าใจความรู้สึกในขณะนั้น  การที่ต้องเผชิญความจริงในภาระตนเอง  ที่ไม่ยอมท้อ   ไม่ยอมถอยหนีกับสิ่งตรงหน้า  จนเห็นได้เองกับปมเงื่อนที่ผูกรัดนั้นออกมาได้เอง  ที่รู้เฉพาะตนตามสภาพความจริงได้  วิปัสสนาญาณเกิดแล้วตามธรรมชาติของเธอ  ที่รู้สภาพธรรมชาติที่หมุนวน  รู้ที่ได้ประจักษ์แตกฉานกับความรู้สึกในรู้ตามสภาพที่มี  แต่ในสภาพที่มีที่รู้ กลับไม่มีเธอเป็นเจ้าของกับรู้ใดๆ   สิ่งๆนี้อุปมาว่าวิปัสสนาญาณ   จงใช้ความรู้สึกของเธอเดินตามเข้ามาพิสูจน์ด้วยตนเอง   อย่าเชื่อในคำ และภาษาคนตรงนี้   หากเชื่อไว้อีกมันจะขวางทางเธอเอง


...โชคดี...%

ทิฏฐิมานะที่เห็นถูกยังเป็นสิ่งมี   เธอทั้งหลายอาจจะเห็นเองไม่ทัน  กับความรู้สึกตนเองที่ซ้อนกันได้เร็ว  และแนบเนียนมาก   เธอจะลืมสิ่งที่เป็นเธอทันที   ที่ผู้บรรยายบอกไว้ว่า "เงา"   นั้นคือเธอ   แต่เธอจะหลงกับทิฏฐิมานะตนเองที่เห็นเอง คิดเองว่าถูกในด้านที่ไม่มี   สิ่งที่ไม่มีของเธอขณะนั้น  เป็นสิ่งที่เธอคาดเดาขึ้นเองเหมือนเป็นความเห็นที่ถูกต้อง   สิ่งที่ถูกของเธอตรงนี้  ยังเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นได้เอง  จึงติดอยู่กับทิฏฐิมานะที่เห็นถูก  คิดเอาเองว่าหมดแล้ว   หมดจริงๆหรือยัง  ส่องดูให้ดีๆ   อย่าประมาทในธรรมชาติตนเอง   สิ่งที่เห็นว่าถูกนั้นก็ยังมีอยู่  อย่าได้หลงเข้าไป  เดี๋ยวจะติดกับดักตนเอง   ลองมาฟังเรื่องเล่าปรุงแต่งสมมุติที่ชี้ให้ดู  ทิฏฐิมานะที่เห็นถูกยังเป็นสิ่งมี   ทำความเข้าใจตามมาเรื่อยๆ


...โชคดี...%

ผู้มีอิสระในธรรม อิสระคิดเอาเองไม่ได้   อย่าปลงใจเชื่อกับสิ่งสมมุติปรุงแต่งกับภาษาคนตรงนี้  อย่างมงายกับการปรุงแต่งของภาษาที่ชี้ และสะกิดให้ดู  จงใช้ความรู้สึกของเธอ  ที่ปักหมุดเอาไว้ในแก่นแบบลอยๆ  ที่ไม่มี  ไม่รู้ว่าแก่นคืออะไร  จงใช้สิ่งที่เป็นเธออยู่แล้วเดินตามมาดู   ธรรมที่เป็นเธอ   ไม่ใช่ธรรมที่เป็นภาษาคน หรือภาษาธรรม  ที่เธอเคยจดจำจนเชื่อเอาไว้   คำว่า   อิสระในธรรม   นั้น  เธอจึงคิดปรุงแต่งเอาเองไม่ได้  เพราะธรรมเป็นคำกล่าวลอยๆ  ที่มีผู้ปรุงแต่งเอาไว้ให้แล้ว   ธรรมจึงไม่ได้มีความหมายตามภาษาคนที่เธอจดจำ  แล้วเชื่อขึ้นเองตรงนี้   ลองมาฟังแนวทางที่ชี้ และสะกิดให้ดู  การเข้าถึงธรรมที่เป็นธรรมชาติตนเอง  หลุดพ้นจากภาษาที่เชื่อเอาไว้ออกมา   ใช้ความรู้สึกของเธอแบบของใครของมันเดินตามมาดูด้วยตนเอง กับการบรรยายที่พึ่งพาอาศัยภาษาคนตรงนี้ที่ชี้ให้ดู   อิสระในธรรม   ที่ทุกคนมีอยู่แล้ว


...โชคดี...%

ผู้มีอิสระในธรรม อิสระคิดเอาเองไม่ได้ (ต่อ)   ความเชื่อ  เป็นสิ่งที่วางลงได้ยาก  เพราะมองไม่เห็นได้เองว่าตนเองได้เชื่อเอาไว้หมดทุกอย่างแล้ว  เมื่อวางไม่ลงก็เข้าไปถึงสิ่งที่เป็นตนเองคือ  อิสระในธรรม  คำว่า  ธรรม หรือธรรมะ  จึงเป็นสิ่งที่มีอยู่  ผูกรัดความรู้สึกของตนให้มีขึ้นแบบของใครของมัน จนแยกออกมาไม่ได้ติดอยู่กับภาษาสมมุติที่ปรุงแต่ง  ภาษาที่ปรุงแต่งได้นั้นก็มีผู้ปรุงเอาไว้ให้แล้วจึงจดจำได้  คำว่า  ธรรม หรือธรรมะ  จึงเป็นเพียงความเชื่อแบบที่ท่องจำไว้ให้มีขึ้นมาตรงนี้  สิ่งที่มีจึงลวงล่อความรู้สึก  หลอกหลอนผูกรัดตนเองให้ติดหนึบอยู่กับสิ่งที่ท่องจำ  ที่เชื่อเอาไว้เอง  เธอจึงคิดได้ทุกอย่างกับภาษาที่ปรุงแต่ง  และเธอก็ปรุงแต่งเพิ่มใหม่ขึ้นอีก  อิสระในธรรมจึงเป็นเพียงความคิดที่เธอคิดเอาเองกับความเชื่อที่สมมุติขึ้น  ความยากถึงยากมาก  ที่ใครจะวางความเชื่อลงได้ในสิ่งที่ตนเองสมมุติขึ้นมา  เมื่อวางไม่ลงก็ไม่สามารถเข้าถึง  อิสระในธรรมตนเองที่เป็นเธออยู่แล้วได้เลย


...โชคดี...%

ผู้มีอิสระในธรรม  อิสระคิดเอาเองไม่ได้ (ต่อมา)   มาดูสมมุติความเชื่อที่ปรุงแต่งจนเกิดมาเป็นความคิด  ที่คิดเอาเอง  ความเชื่อของความคิดที่ยังมีหลงเหลืออยู่  จึงคิดคาดเดาขึ้นเองได้  คิดเอาเองว่าเป็นอิสระ  แต่มองเห็นความคิดไม่ทัน  มีผู้เข้าใจแบบที่คิดขึ้นเองอยู่มาก  จนหลงเชื่อความรู้สึก  ด้วยการคำนวณเทียบเคียงเอาเอง  ว่าตนนั้นได้พบอิสระหมดสงสัยแล้วแต่เห็นไม่ทันในสิ่งที่คิดของเขาตรงนี้ที่เขายังคิดได้อยู่  สิ่งที่ละเอียดมาก  ที่อยากจะชี้ให้พวกเธอในห้องลองตามมาดู  อุปาทานที่คิดเอง  ความรู้สึกที่คิดแบบนี้ยังมีรู้อยู่ไม่หมดไปไหนเลย  รู้ที่คิดคาดเดาได้  เทียบเคียงขึ้นเองได้กับสิ่งรู้ที่เคยเชื่อตามปาก  เชื่อตามตำรา  เชื่อที่จดจำเอามา  ความเชื่อที่คิดได้ก็ยังผูกรัดตนเอาไว้แต่เห็นเองไม่ได้  ประกาศโฆษณาตนเองว่าเป็นผู้รู้  ผู้รู้ที่คิดเอาเองจึงมีอยู่มากมาย  ทุกวันนี้  ภาษาธรรม  โดยเฉพาะคำว่าพระพุทธเจ้า  จึงขายดี  ถูกนำมาปรุงแต่งเพื่อสร้างบารมีให้ผู้รู้ที่คิดเอาเองที่อุปโลกน์ตนเองขึ้นมา  อิสระที่คิดเอาเองของเขา  จึงมีเรื่องราวไม่หมดไปไหนเลย


...โชคดี...%

ผู้มีอิสระในธรรม อิสระคิดเอาเองไม่ได้ (ต่อมาอีก)   ตามมาดูการคิดนอกกรอบตนเอง ที่ต้องอาศัยเรื่องโลกที่คิดได้  ที่เคยเชื่อ และจดจำเอาไว้  ด้วยการย้อนทวนด้านกลับความรู้สึกตนเอง   การย้อนทวนดูใหม่ตรงที่จุดเริ่มตนเอง  ที่เคยเชื่อเอามาจนคิดได้  จนได้เห็นเองกับกระบวนการที่ได้บันทึกจดจำเอาไว้  จนเชื่อแบบสนิทใจ  และเกิดเป็นความคิดที่หมุนวนได้เร็ว  แต่ทุกขณะที่รู้สึกถึงสิ่งรู้ของตนเองขึ้นนั้น  ตนเองกลับมองไม่เห็นถึงภาษาที่กำลังอธิบายอยู่ตรงนี้  มีเพียงอะไรก็ไม่ทราบที่เกิดรู้ขึ้นเฉพาะตน  ที่อธิบายไม่ได้ว่ารู้คืออะไร  ความซับซ้อนของธรรมชาติตนเองที่ไม่มีภาษา  แต่รู้สึกได้ในสิ่งนี้คือ ธรรม หรือ ธรรมะ ตามภาษา  คนที่ปรุงแต่งอยู่  อุปมาเหมือนมีรู้ขึ้นขณะก่อนจะทำ  รู้อยู่ขณะที่ทำ  รู้ถึงสิ่งที่ลงมือทำจนสำเร็จ  มีสัญชาตญาณที่จดจำ  ได้ใช้รูปทรงที่อาศัยเป็นผู้ลงมือ  มีความรู้สึกเป็นตัวสั่งการความคิดที่จัดการภาระตรงนั้น  ความคิดนอกกรอบ  ที่เห็น และรู้สภาพแท้จริงมีแค่นี้เอง  จึงมีอิสระ  ที่ไม่ต้องสร้างต้องทำอะไรให้เพิ่มขึ้น   ง่ายจัง...แต่ยากมาก...หากยังอยากอยู่


...โชคดี...%

ผู้มีอิสระในธรรม อิสระคิดเอาเองไม่ได้ (จบ)  การได้เข้าใจเข้าถึงแก่นแท้ของความรู้สึกตนเองได้  ก็พบความสงบร่มเย็นในธรรมขึ้นเอง  จะได้เป็นผู้รู้เอง  ว่าธรรมนั้น  ไม่มีอยู่ในภาษาใดๆมาก่อนเลย  ธรรมนั้นคือสิ่งที่ใครจะคาดเดาว่ารู้  คาดเดาว่าเข้าใจก็คงไม่ถูก  เพราะหากยังมีรู้  ที่ใครยังเข้าใจรู้ว่ามีธรรมอยู่จริง  สิ่งที่มีที่รู้นั้นเป็นการคาดเดาเอาเองทันที  เมื่อภาษาหายไปในความรู้สึก  ธรรมของเธอนั้นจึงปรากฏให้เห็นในแบบของเธอ  ชายผู้ยิ่งใหญ่ผู้เป็นตำนาน  เขาใช้ภาษาสมมุติปรุงแต่งขึ้นไว้ว่า  "ธรรมนั้นคือตัวแทนสืบไป"  ไม่ได้หมายถึงภาษาธรรมที่เป็นเขา  เป็นเพียงสมมุติตามโลกของภาษาในตอนนั้น  เพื่อให้ทุกคนต้องค้นหากับสมมุติภาษาที่มีขึ้นด้วยตนเอง  เหมือนเป็นแผนที่ของเป้าหมายตนเอง  ที่ต้องพึ่งพาตนเองในการเดินทางเข้ามาพิสูจน์  ว่าธรรมนั้นก็คือเธอนั่นเอง  เป็นสิ่งที่มีอยู่กับธรรมชาติตนเองมาตลอด  ไม่มีใครเคยเป็นเจ้าของกับธรรมเอาไว้เลย


...โชคดี...%

รู้ที่ไม่จบ  จบที่ไม่รู้   ตามมาดูรู้ที่ชอบที่ชอบของเธอ  รู้ที่ไม่จบลงเลย  รู้อะไรก็ยังอยากจะรู้ต่อไปอีก  ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรู้ไปอีกนานขนาดไหน  ถึงจะพบรู้ที่พอดี  จบรู้ของตนเองที่อยากจะรู้  แต่ในด้านของความรู้สึกตนที่กลับด้านกันนั้น  จบที่ไม่รู้  กลับมีสมบูรณ์อยู่แล้ว  แต่คนทั่วไปนั้นเข้าไปไม่ถึงเรื่องราวของตน  ความอยากจะรู้ที่เป็นนิสัย  สันดาน  ที่ชอบแต่รู้ที่จำมา   อวดรู้  โชว์รู้   แล้วก็ทกุข์  รู้แล้วก็หดหู่  รู้แล้วก็ผิดหวัง  รู้แล้วว่าโดนเขาหลอก  แต่ก็ยอมให้เขาหลอก  เพราะอยากจะรู้  รู้ที่ไม่จบด้วยเหตุ ที่ปรุงแต่งรู้ในผลที่ตนเองอยากรู้เหมือนรู้ที่ไม่ยอมจบลง  แต่จบที่ไม่รู้  ไม่มีใครรับสภาพนี้ได้  เพราะไม่รู้ที่จบลงนั้นเหมือนต้องอยู่แบบโดดเดี่ยว  เวิ้งว้างเดียวดายเพียงลำพัง  ไม่มีพรรคพวก  ต่างจากรู้ที่มีอยู่กันมากหน้าหลายตา  อวดรู้กันจนวุ่นวาย  แย่งชิงแข่งขันกัน  รู้ที่ไม่จบลง  พวกเธอลองใช้ความรู้สึกตนเองตามมาดูเรื่องที่ชี้ให้ดู  รู้ที่ไม่จบ  จบที่ไม่รู้  หรือจะรู้ที่ไม่จบตนเองต่อไป


...โชคดี...%

รู้ที่ไม่จบ   คำว่า  รู้ที่ไม่จบ  ตรงนี้อุปมาคือ  ธรรม  ตามภาษาคนที่ยังเชื่อกันอยู่มาก  เมื่อเชื่อว่าธรรมมีอยู่จริงๆตามภาษาคน  ธรรมคำนี้จึงมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น  ด้วยเหตุของความเชื่อที่จดจำเอามา  ธรรมจึงมีความหมายขยายเป็นภาษาที่ทุกคนเข้าใจได้เหมือนกัน  จนปรุงแต่งได้เองจากการเรียนรู้ร่วมกันมาทั้งชีวิต  ธรรมจึงเป็นสิ่งมี  สิ่งรู้ที่ทุกคนปรุงแต่งได้  คาดคะเนขึ้นเองได้  เกิดมีรู้ซ้อนรู้ขึ้นกับภาษาธรรม  นำมาแทนความรู้สึกตนเองทันที  รู้ที่รู้นั้นจึงไม่จบลง  เมื่อไม่จบก็พยายามแสวงหารู้ต่อให้รู้อีก  เชื่อว่าหากรู้อะไรได้มาก  ธรรมนั้นคงจะจบลงได้  หมดทุกข์ลงเอง  หมดสงสัยลงเอง  จึงคิดต่อจนติดหนึบอยู่ในวังวนความคิดกับรู้ที่คิดได้  หลงใหลกับภาษาธรรมที่ตนปรุงแต่งขึ้นเอง  ยังเห็นเองไม่ได้กับรู้ที่ไม่หมดในรู้  รู้หมุนวนอยู่กับรู้ที่ปรุงแต่งขึ้นใหม่ได้เอง  เกิดเป็นรู้ที่ไม่จบลง  เหมือนยิ่งรู้ก็ยิ่งทุกข์อยู่เช่นเดิม


...โชคดี...%

จบที่ไม่รู้   เธอจงใช้ความรู้สึกของตนเองตามมาดูว่า  จบที่ไม่รู้  ไม่รู้นั้นก็คือเธอ  ที่เธอได้เห็นความรู้สึกของตนเอง  ที่ได้ย้อนกลับไปดูจุดเริ่มต้นของชีวิตตนเอง  ที่ไม่มี  ไม่รู้  เรื่องราวจึงหมดลง  แล้วเธอจะรู้ในแบบของเธอ  ที่รู้เฉพาะตนเอง  ที่เห็นได้ในจุดเริ่มต้นที่เป็นทุนเดิม  และใช้ทุนเดิมที่เห็นถึงความเชื่อ ที่เชื่อมโยงผูกรัดตนเองเอาไว้กับสิ่งที่จดจำมาทั้งชีวิต  ปรุงแต่งต่อขึ้นเอง  ตามความเชื่อมาตลอด  สิ่งรู้ที่ได้ยิน  ได้เห็นที่มีตนเป็นผู้รู้นั้น  เป็นรู้ที่ปรุงแต่งตามเขาอยู่  และเชื่อเอาไว้  รู้จึงไม่จบลง  แต่ไม่รู้นั้น  เพียงพึ่งพาอาศัยสิ่งที่รู้ที่ปรุงแต่งเท่านั้น  เพื่อทำภาระตรงหน้าให้สำเร็จ  จะไม่คาดเดาอะไรกับรู้  เพียงเผชิญ  และอยู่กับรู้ที่มีตรงหน้าเพื่อการจัดการสิ่งรู้ที่ปรุงแต่งนั้นให้จบลง  หมดภาระก็วางรู้เอาไว้ที่เดิม  จบที่ไม่รู้  ลองรับฟังรายละเอียดที่เธอต้องตั้งใจปักหมุดเอาไว้ในแก่นแบบลอยๆ  ใช้ความรู้สึกตรงนั้นตามมาดู  มาพิสูจน์ด้วยตนเอง  ว่าจบคืออะไร  จบที่ไม่รู้นั้นเป็นเช่นไร


...โชคดี...%