วีดิโอธรรม4

ธรรมที่ทำให้เป็นพระอริยะ   เป็นหลักการที่พวกเธอต้องทำความเข้าใจในกฎของธรรมชาติของใครของมัน  ธรรมชาติที่ผันแปรเดินหน้าอยู่ตลอดเวลา  อุปมาเหมือนสิ่งที่มองไม่เห็นได้เอง  จึงคาดเดาไม่ได้  ภาษาธรรม  ที่บอกเอาไว้ว่า  อนิจจัง  ความไม่เที่ยง  หากเธอยังคาดหวัง  คาดเดา  แตะต้อง  เป็นเจ้าของในสิ่งไม่เที่ยง  ความไม่เที่ยงจึงเป็นผลปรุงแต่งตามมาของเธอ  คือ  ทำให้เกิดทุกข์  ทุกข์ของการพลัดพราก  ทุกข์ของความพอใจยอมรับในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่คาดเดาเอาไว้  ทุกข์ที่กักขังตนเอง  ภาษาธรรมบอกว่า  ทุกขัง  นั้นเอง  ทั้งสองสิ่งนี้มันไม่ใช่เรื่องของเธอ  เธอได้แค่พึ่งพาอาศัย  เป็นเพียงสิ่งที่เธอต้องเข้าใจให้ได้เอง  เธอถึงจะเข้าถึงคำในภาษาธรรมที่บอกเอาไว้ว่าเป็นอนัตตา  สิ่งที่ไม่มีเธอ  ไม่ใช่ของเธอ  เป็นสิ่งรู้  ตามธรรมชาติเท่านั้นเอง  เรียกว่าไตรลักษณ์  คือลักษณะสามอย่างที่หมุนวน  เป็นกฎเกณฑ์ของทุกชีวิต  ที่มีอยู่มาก่อน  เธอต้องรู้ในธรรมชาติตนเองให้เท่าทันเท่านั้นเอง  อย่าได้ลืมทางตนเอง  เพราะรู้อะไรไม่ใช่เธอ  สิ่งที่เป็นเธอนั้น  ไม่มี  ไม่รู้  เรื่องราวจึงหมดลง  สิ่งที่หมดลงที่  ไม่มี  ไม่รู้  ของเธอที่เข้าใจได้เองนั้นก็คือ  อนัตตา  ที่ไม่ใช่ภาษาที่ปรุงแต่งขึ้นมาตรงนี้


...โชคดี...%

สิ่งไม่เที่ยงที่ผันแปร   เป็นกฎข้อที่ 1  ที่จะนำเธอเข้าสู่กระแสธรรม  ที่ทำให้เป็นพระอริยะ  สิ่งแรกที่เธอต้องเข้าใจขึ้นเอง  จนเท่าทันได้ในสภาพความจริงของธรรมชาติตนเอง  ที่ต้องเริ่มต้นจากกาย  กายของเธอคือที่อาศัยของชีวิต  ชีวิต  อุปมาคือ  วิญญาณ  ได้เข้าสิงกาย  เกิดอารมณ์รองรับ  ความรู้สึก  อุปมาคือ  จิต  ที่มีคู่กับชีวิตมาตลอด  กายหรือร่างกายเธอนั้นคือที่อาศัย  เป็นโลกโลกหนึ่ง  ที่มีชีวิตและความรู้สึกได้เข้าไปอาศัยอยู่มากมาย  มีรูปทรงแตกต่างกันอยู่  เธอคือส่วนหนึ่งที่ได้เข้าไปอาศัยกายร่วมกับเขา  ความผันแปรไม่เที่ยงจึงเริ่มที่กายตนเอง  ที่จะต้องพิจารณาภายในกายตนเอง  รายละเอียดก็จะชี้  และสะกิดให้ดูในความซับซ้อนของภายในกายที่เป็นศูนย์รวมของโรค  และเป็นโลกโลกหนึ่ง  ที่เธอเข้าใจว่ากายนั้นเป็นเธอมาตลอด  แต่สิ่งที่เป็นกายนั้น  ไม่มีใครเป็นเจ้าของกายได้เลย  ความไม่เที่ยงที่ผันแปร  ที่มีเกิด  ที่แก่  ที่เจ็บ  ที่ตาย  จึงเป็นกฎข้องแรกที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจถึงจะหลุดออกมาได้เอง  เห็นได้เองว่ากายนั้น  คือสิ่งที่เธอเพียงได้พึ่งพาอาศัยเท่านั้น


...โชคดี...%

ทุกข์ที่มีเธอ   ทุกข์ของเธอที่เข้าไปเป็นเจ้าของ  คือกฎข้อที่ 2  ที่เธอต้องเข้าใจให้ได้เอง  เพื่อจะนำเธอไปสู่ความเป็นพระอริยะ  ทุกข์คือทุกสรรพสิ่งทั้งหลายที่ผันแปร  ไม่ใช่เรื่องของเธอ  เธอต้องทำความรู้แจ้งเรื่องภายในและภายนอกไปพร้อมกันกับความรู้สึกของเธอ  สิ่งที่มี  ที่รู้  ที่เกิดขึ้น  ตั้งอยู่  และดับลง  เป็นสิ่งมี  ที่มีอยู่เนืองๆ  หมุนวนต่อเนื่องไม่ได้หมดไปไหน  สิ่งรู้ตามธรรมชาติของเธอ  ที่รู้สึกได้อยู่ตลอดเวลา  หมุนวนอยู่เนืองๆ  ซ้ำๆ  ไม่มีใครเป็นเจ้าของ  หากเธอไม่เท่าทัน  ความทุกข์ก็จะผูกรัดในใจของเธอ  สิ่งที่ผูกรัดเธอก็คือผล  ที่เธอปรุงแต่งกับโลกขึ้นแล้วกับเรื่องราวที่ไม่ใช่เรื่องของเธอเลย  เธอจงค้นหาตัวตนของเธอในกฎข้อที่ 1  สิ่งไม่เที่ยงที่ผันแปร  ดูภายในกายตนเอง  รู้ที่ไม่ใช่เธอ  จะรู้อะไรก็ไม่ใช่เธอ  เธอนั้น  ไม่มี  ไม่รู้  เรื่องราวจึงหมดลง  อย่าลืมทางตนเอง  เธอคือผู้อาศัยเรื่องทุกข์ที่มี  เกิดขึ้น  ตั้งอยู่  ดับลง  เป็นเพียงเครื่องอยู่กับสภาพธรรมตรงนั้น  ถึงที่สุดแล้ว  สภาพทุกอย่างก็จางหายไป  พลัดพรากจากไป  ความไม่เที่ยงผันแปรทุกสรรพสิ่ง  จึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นเธอ


...โชคดี...%

ไม่มีอนัตตา   อนัตตาที่เธอเรียนรู้มา  เธอเข้าใจได้หรือยัง  เป็นสิ่งที่เธอปรุงแต่งได้  แต่การชี้  และสะกิดของผู้บรรยาย  จะชี้ให้ดู  ไม่มีอนัตตา  ทุกสรรพสิ่งหายไปในความรู้สึกของตนเอง  สิ่งไม่เที่ยงที่ผันแปรยังดำเนินต่อไป  มีเพียงตนเองเท่านั้นที่เห็นได้  อนัตตาสิ่งที่ไม่มีนั้น  ก็ยังคงดำเนินไป  มีเพียงตนเองเท่านั้นที่เห็นได้  สิ่งที่มี  ที่รู้  ก็ยังมี  ยังรู้อยู่  สิ่งที่ไม่มี  ไม่รู้  ก็ยังดำรงอยู่กับความรู้สึกตนเอง  ทั้งสองสิ่งที่มี  และไม่มี  ที่รู้  และไม่รู้กับความความรู้สึกของตนเองต่างหาก  ที่เธอต้องเดินเข้ามาดูจนเกิดรู้ได้เฉพาะตน  คำ  และภาษา  "ไม่มีอนัตตา"  จึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นเธอ สิ่งที่ซับซ้อนที่จะชี้  และสะกิดให้พวกเธอดู  จึงต้องอาศัยการปรุงแต่งภาษา  ที่มี  ที่รู้  ของพวกเธอ  ฉะนั้นอย่าได้หลงใหลกับสิ่งที่ปรุงแต่งตามภาษากับเรื่องราวที่มีตรงนี้  เพราะสิ่งที่มี  ที่รู้ตรงนี้  ยังเป็นภาษาที่เธอเชื่อเอาเองว่า  "อนัตตา"  คือสิ่งที่ไม่มีตัวตน  แต่ตอนนี้  คำๆนี้  มีตัวเธอที่รู้ขึ้นแล้ว  ที่ได้จดจำเอามา  เธอจึงเดินทางออกมาไม่ได้กับภาษาที่เธอปรุงแต่ง  และผูกรัดตนเองเอาไว้


...โชคดี...%

ธรรมที่กำลังล่มสลาย   การล่มสลายของธรรมเริ่มมีให้เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ  ขณะที่โลกและธรรมมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  สิ่งที่พัฒนาขึ้นใหม่ของธรรม  ที่มาจากสมองของมนุษย์ผู้รู้ในยุคนี้  เธอจะเห็นได้เท่าทันเพียงใด  กับสิ่งที่ได้ยิน  และสิ่งที่เห็น  ธรรมในยุคนี้จึงมีผู้รู้มากมาย  ที่ใช้คำลวงล่อ  ชี้นำ  ข่มขู่  อวดอ้าง โกหก  ตลบตะแลง  ขี้โม้  อวดตัว  ถือตน  คัดลอกท่องจำ  กล่าวอ้างสรรพคุณตนเอง  กับภาษาธรรมที่ปรุงแต่งขึ้นเอง  ธรรมของผู้รู้ในยุคนี้  จึงเปรียบเสมือนเชื้อโรคร้าย  ที่ลุกลามแพร่ระบาดกันไปทั่ว  ยากที่ใครจะรอดจากเชื้อโรคร้ายที่ระบาดอยู่ในตอนนี้  ความเชื่อที่หลงใหล  บวกกับความอยาก  ที่อยากจะได้อะไรง่ายๆ  จึงติดเชื้อร้ายของโรคระบาดที่ตนเองก็มองไม่เห็น  ไม่มีวัคซีนใดที่จะหยุดยั้้งเชื้อโรคร้ายนี้ลงได้  ผู้บรรยายรู้สึกด้วยตนเองแบบนี้  จึงไม่ได้แปลกใจกับคนยุคนี้  ที่มีความทะยานอยากกันอยู่มาก  อยากได้  อยากมี  อยากเป็น  ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนเอง  คงมีมนุษย์ส่วนน้อย  ถึงน้อยมาก  ที่ต้องการค้นหา  แสวงหาวัคซีน  เพื่อป้องกันเชื้อโรคร้ายนี้ด้วยตนเอง


...โชคดี...%

รู้ธรรมจนไม่เห็นทาง   ความรู้ทางโลกก็ใช้เพื่ออยู่กับโลก  ความรู้ทางธรรมก็ใช้เดินทางธรรม  ขอแค่เธอรู้ทางตนเองจริงๆให้ได้  ก็จะไม่หลงทาง  การหลงทางแบบรู้ธรรมของผู้อื่นนั้น  เธอจะมองไม่เห็นทางตนเอง  ฉะนั้นพวกเธออย่าเชื่อปากของผู้บรรยาย  จงใช้ความรู้สึกตนเองใคร่ครวญ  ไตร่ตรอง  พิจารณาให้แยบคายกับเรื่องราวภายในธรรมตนเอง  อย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน  จากการปรุงแต่งภาษาของเราโดยเด็ดขาด  เราแค่พึ่งพาภาษามาชี้ให้ดูความจริงในธรรมชาติในแบบของเธอ  ที่มีของใครของมัน  ลอกกันไม่ได้  คำว่า  "รู้ธรรม"  เธอรู้ธรรมอะไร  ทำไมถึงรู้  สิ่งที่บอกว่ารู้ธรรม  เธอก็ยังเคลือบแคลงสงสัยกับธรรมที่รู้  รู้ของเธอที่นำไปสู่ความหลงหรือเปล่า  หลงใหลธรรมที่รู้  จนเธอหลงทางไปเลย  เธอจะหันกลับไม่ทัน  เพราะไหลไปตามกระแสรู้จนหาทางกลับบ้านไม่เจอ  การทวนกระแสธรรมที่รู้ที่หลงอยู่  เพื่อจะนำเธอกลับบ้าน  กลับมาสู่ทางตนเอง  ที่เธอทุกคนจะต้องใช้ความอดทน  และเพียรพยายามของตนเอง  ที่ต้องฟังการชี้  และสะกิดให้ดู  ตามมาดูเรื่อยๆ  ที่ไม่ต้องเก็บสะสมใดๆเอาไว้  มีแค่นี้


...โชคดี...%

สิ่งที่ไม่รู้  ไม่มีของเดรัจฉาน   โลกยุคโลกาภิวัฒน์ที่การพัฒนาล้ำสมัย  ความเชื่อของคนที่เปลี่ยนไป  จึงผูกรัดตนเอง  โลกมีพวกเลวล้ำลึกที่ยังหาประโยชน์กับผู้ด้อยอยู่มาก  ออกอุบายที่ลวงล่อได้แนบเนียน  ใช้ความเชื่อที่ทุกคนยึดมั่นมาผูกรัดใจคน  ให้หลงทางไปกับสิ่งรู้  สิ่งมี  เรามาชี้  และสะกิดให้ดู  เราไม่ได้สอนใคร  ก็มีคนบอกว่าเราสอน  เราบอกว่าไม่รู้  ไม่มี  "การบรรลุธรรมที่ไม่มีการบรรลุอะไรหรือทำอะไรให้ได้บรรลุธรรม"  แต่...ก็มีผู้รู้...ที่อยากโชว์ภูมิรู้ตนเองเอาไว้ในหลาย EP ที่เราเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น  สิ่งที่ไม่มี  ไม่รู้  ตอนนี้  มี และรู้  ขึ้นใหม่แล้ว  พวกเธอเดินตามมาดู  เราจะชี้ให้ดู  กับภูมิรู้ของผู้รู้ที่อยากโชว์  "ปรุงแต่งฉิบหาย" เขาคงฟังเราไม่เข้าใจ  เลยอยากจะปล่อยของ  หรือปล่อยไก่  โชว์ภูมิรู้แบบขัดเคืองใจตนเอง  ที่เราอ่านแล้วก็สะใจ  เราก็ชอบการปรุงแต่ง  ส่วนท่านผู้รู้ทุกท่านที่โชว์อะไรไว้  ก็ควรเกาะเก้าอี้เอาไว้แน่นๆด้วย  อย่าหงายท้องร่วงลงไปก่อน  ตามมาดู  จะชี้ให้ดู  สิ่งรู้  สิ่งมีของท่าน  กับสิ่งที่ไม่รู้  ไม่มีของเดรัจฉาน  ใครเป็นผู้รู้  ก็มีภาระกับรู้ต่อไป


...โชคดี...%

สนตะพายธรรม   ลองทำความเข้าใจให้ถ่องแท้กับความรู้สึกตนเองที่มีของใครของมัน  มารับฟังนิทานปรุงแต่งภาษาคนเรื่อง  "สนตะพายธรรม"  ธรรม  คือความรู้สึกที่มีเฉพาะตนในแบบฉบับเธอ  สนตะพาย  คือถูกชักจูงให้ไปกระทำตามที่มีผู้กำหนด  สนตะพายธรรม  อุปมาแล้วก็คือ  ความรู้สึกที่ยังเห็นเองไม่ได้  โดนเขาลากจูงไป  เพราะความอยากที่มีอยู่ในใจตนเองที่ยังอยากจะได้  อยากจะมี  อยากจะเป็น  กับความเชื่อที่มีผู้มาชักจูง  แต่ยังเห็นเองไม่ได้ในความทะยานอยากของตนเอง  จึงตกเป็นเหยื่อให้เขาได้ชักจูง  โลก  และธรรมทุกวันนี้  ที่มีผู้มาชักจูงให้คนหลงใหล  ไขว่คว้า  แย่งชิง  แข่งขัน  ซึ่งมีให้เห็นอยู่ตลอดไม่เคยหมดไปไหน  ความไม่เที่ยงที่ผันแปร  ได้หมุนวนมาให้มี  ให้เห็น  อยู่  อย่าง  ทุกข์ที่มี  จึงเกิดคู่กันมาอย่างยาวนาน  เพราะความเชื่อกับคำตามภาษาที่เขาสนตะพายให้ไว้กับตนเอง  ความรู้สึกจึงปรุงแต่งให้มีขึ้นมา  มีตัวตนขึ้นมารองรับ  จึงถูกเขาสนตะพายธรรมให้แล้ว  พวกเธอเห็นกับสิ่งตรงนี้ได้เองจริงๆหรือยัง  ลองฟังนิทานปรุงแต่งภาษาคนที่จะชี้ให้ดูไปพร้อมกัน


...โชคดี...%

ความจริงอันประเสริฐ  อย่า...ทะเลาะกันเลยท่านผู้รู้ทั้งหลาย  หันมาพาคนทั้งหลายมาดูพื้นฐานที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจกับสภาพความจริงของตนเอง  ความรู้สึกของเธอนั่นแหละคือธรรมแท้  ที่ไม่ต้องไม่ลอกใคร  จงใช้สิ่งที่สมบูรณ์ในธรรมชาติตนเองเดินตามมาดู  ความจริงอันประเสริฐที่เป็นเธอ  จงใช้สิ่งที่เป็นตัวเธอเพื่อเดินทางเข้าถึงความจริง  จงอดทน  อดกลั้น  หมั่นสังเกตให้เท่าทันกับความรู้สึกตัวเฉพาะหน้า  เพียรพยายามต่อไป  อย่าเข้าไปขัด  ไปแตะ  กับสิ่งที่ผ่านมา  และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง  ความจริงปรากฏให้เธอเห็นอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ผันแปรไป  รู้อะไรก็พึ่งพารู้ได้เท่านั้น  สิ่งรู้นั้นก็ผ่านไป  ผันแปรไป  หากยังยึดติดกับรู้  รู้นั้นจะผูกรัดเธอ  ทุกข์ที่มีเธอก็ตามมา  ตัวตนก็ปรากฏขึ้น  เรื่องราวจึงมีขึ้นใหม่  ที่ไม่ใช่เรื่องของเธอ  เห็นได้ทันหรือยังว่า  สิ่งที่ผันแปรนั้นแตะต้องไม่ได้  ถ้าแตะต้อง  เธอจะติดกับดักตนเองทันที  สิ่งที่เร็วมากตรงนี้ของธรรมชาติที่เดินหน้าผันแปรเป็นอิสระ  เธอเห็นได้ทันเพียงไร  หากเห็นได้ทัน  จนไม่แตะ  ไม่แบก  ไม่รับเอาเข้ามา  สิ่งที่เป็นตัวตนก็จะหายไป  วงเวียนชีวิตที่หมุนวนจึงมีเพียงเธอเท่านั้นที่เห็นรอบด้วยตนเอง  ความจริงอันประเสริฐจึงอุปมาคล้ายๆอย่างนี้


...โชคดี...%

กิเลสที่มีใช้ให้เป็นก็พ้นทุกข์  ลองตามมาดู  การปรุงแต่งสมมุติภาษากับสิ่งที่ผันแปร  หมุนวน  ที่เธอแตะต้องไม่ได้  เมื่อเธอแตะเมื่อไร  จะเกิดมีตัวเธอขึ้นมา  จะมีเธอที่รู้  มีเธอที่เห็น  มีเรื่องราวที่ไม่ใช่เรื่องของเธอ  สิ่งที่มี  สิ่งที่รู้  ที่เธอแตะต้องกับความผันแปร  จะเกิดมีเรื่องใหม่  ที่ไม่ใช่เรื่องของเธอ  สิ่งมี  สิ่งรู้ที่คล้องรัดกัดกร่อนตัวเธอนั้น  ตรงนี้คือกิเลส  มีความโลภ  โกรธ  หลง  ที่เธอยังเห็นรอบตนเองไม่ทัน  หลงติดกับกิเลส  ก็เพิ่มตัณหาตัวใหม่ให้กับเธอ  เกิดความอยาก  อยากจะมี อยากจะได้  อยากจะเป็น  ซ้อนเพิ่มลงไปในความรู้สึกแค่ขณะเดียว  สิ่งที่ผันแปรผ่านไปแล้ว  หมดไปแล้ว  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ไม่หมดลง  เธอเห็นขบวนการสิ่งที่ซ้อน  และข้ามความจริงตนเองได้แท้จริงเพียงใด  ความรู้สึกแค่ขณะเดียว  ที่เธอเข้าไปขัดฟันเฟือง  ธรรมชาติตนเองที่ไม่ใช่เรื่องของเธอ  จะเกิดมีตัวตนขึ้นใหม่  ทุกข์ตัวใหม่  เรื่องราวจึงไม่หมดลง  ลองมาฟังสิ่งที่จะชี้ให้ดู  กิเลสที่มีใช้ให้เป็นก็พ้นทุกข์  คืออะไร  เธอจะเห็นได้ทันเพียงใด  ค่อยๆเดินตามมาดู  ไม่ต้องเร่ง  ไม่ต้องรีบร้อน


...โชคดี...%

ความสำเร็จในธรรม มีอยู่กับทุกคน   เธอลองหันกลับมาดู  ธรรมชาติตนเองเสียใหม่ก่อน  ความเชื่อของเธอที่ผ่านมาแล้ว  กับภาษาที่มีผู้สมมุติให้ไว้  ได้ผูกรัดเธอจนดิ้นไม่หลุด  มีผู้รู้  ที่รู้มาก  ได้กล่าวเอาไว้ว่า  สมมุติไม่มีอยู่จริง  แต่ทุกครั้งที่เขาพูดอะไรออกมา  เขาคงมองเห็นไม่ทัน  หรือว่าเขาลืมบอกกับเธอให้หมด  ว่าที่เขาพูดออกมาทั้งหมดนั้นก็ยังเป็นสิ่งสมมุติอยู่  แล้วอะไร?  ที่ไม่ต้องใช้สมมุติ  เราคงบอกกับเธอได้เพียงว่า  ไม่มี  ไม่รู้  ภาษาที่นำมาชี้  และสะกิดก็ยังเป็นสมมุติ  หนีไม่พ้นกับสมมุติที่มีที่รู้  สมมุติทุกอย่างจึงได้เพียงพึ่งพาร่วมกันเท่านั้น  แม้แต่คำศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า  พระพุทธเจ้า  พระธรรม  พระสงฆ์  ก็ล้วนสมมุติขึ้นมา  เธอจะกล้าหาญเพียงใด  ที่จะล้มสมมุติกับคำศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างลงในความรู้สึกเธอ  ที่ยังเชื่อและยังจำได้อยู่  เธอจะกล้าหันกลับมาดูธรรมชาติแท้จริงของเธอเองหรือเปล่า  ความสำเร็จในธรรมที่มีอยู่ในตัวเธอ  ที่ต้องพึ่งพาอาศัยสมมุติของโลกที่มีที่รู้ เพื่อย้อนกลับมาสู่สภาพที่เป็นจริงในธรรมชาติเดิมแท้ตนเอง  เห็นได้กับสมมุติที่มีที่รู้ของโลก  แต่ไม่ได้มีเธอในสมมุติตนเองให้มีให้รู้ตามใคร  ก็แค่นี้


...โชคดี...%

อยากสำเร็จธรรม  ทำไม่สำเร็จ  โลกที่ผันแปรได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของคนในยุคนี้  จนเข้าสู่ยุคของความเสื่อมโทรม  คนทุกวันนี้  ที่อยากจะได้อยากจะมีอะไรง่ายๆ  ขาดความอดทน  ขาดความมุ่งมั่น  มีแต่ความทะยานอยาก  คำเชิญชวนที่หอมหวาน  ปลุกเร้า  ครอบงำ  ลวงล่อ  จนทำให้หลงใหล  หลงเชื่อ  ติดเป็นสันดานของคนไปแล้วในยุคนี้  อยากสำเร็จธรรม  แต่ก็...ไม่รู้...ว่าธรรมคืออะไร  ธรรมที่รู้  ที่เรียนมาทั้งชีวิต  ได้ยึดติดผูกรัดเธอเอาไว้  เพราะเชื่อเขาจนหลงทางกับความอยาก  ติดหนึบแกะไม่ออก  เธอได้สำเร็จธรรมจริงสมใจเธอหรือยังกับความอยาก  อยากที่จะได้อะไรง่ายๆ  เธอมองไม่เห็นธรรมตนเองแล้ว  ธรรมแท้ของเธอเป็นสิ่งง่าย  สำเร็จธรรม  ทำสำเร็จอยู่แล้ว  แต่เธอยังเห็นไม่ทันเองในรอบความจริงที่เป็นเธอ  กลับหลงทางเข้าไปติดอยู่ในโลกของผู้อื่น  ติดในวังวนที่ผันแปร  ความเสื่อมโทรมที่เชื่อเป็นสันดาน เหมือนเป็นขุมทรัพย์ที่ขวางทางเธอไม่ให้สำเร็จ  เธอกล้าที่จะวางเรื่องโลกลงก่อนหรือเปล่า  หันกลับมาทำความเข้าใจ  เดินย้อนกลับมาดู...ธรรม...ที่เป็นเธอ  แท้จริงคืออะไร


...โชคดี...%

มึงค้นหาตนเองให้เจอ  ก็หมดทุกข์  อย่าตกใจกับคำ  และภาษา  "มึงค้นหาตนเองให้เจอ"  เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัวระหว่างเรากับครู  ที่มาชี้  และสะกิดให้กัน  พี่คือครูคนเก่ง  ที่พูดน้อย  เสียงดัง  พูดจาไม่ค่อยเข้าหูใคร  ไม่ชักใยให้ใครหลงผิด  หลงทาง  ไม่มีการเอาใจ  จริงจัง ใส่ใจกับทุกรายละเอียด  กุศโลบายในคำสั้นๆ  แต่ก็สะกดใจเราไว้ได้  เราเป็นคนที่สอนยาก  ไม่ฟังใคร  และก็กวนพี่มาตลอด  แถมอวดดี  สงสัย  อยากเข้าใจ  พี่คือครูที่ให้อภัยเราเสมอมา  ให้การบ้าน  สร้างแรงบันดาลใจ  ที่เราต้องทำด้วยตนเอง  เพราะการค้นหาตนเองคือสิ่งแปลกใหม่สำหรับเรา  กว้างไกล  ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากอะไร  จึงเริ่มแบบ  ไม่รู้  ไม่มีต้นแบบ  มั่วไปเรื่อย  ค้นหาไปเรื่อยว่าตนเองคือใคร  มีการกำชับต่ออีกว่า  "เมื่อมึงเจอตนเอง  ก็เจอทุกอย่าง"  ใช้สิ่งที่เป็นมึงหลอกธรรมชาติเขาให้เนียน"  คำว่า  "หลอกธรรมชาติเขาให้เนียน" ตรงนี้  ที่นำเรามาสู่ความสำเร็จบรรลุเป้าหมาย  "หมดทุกข์"  อุบายที่ชาญฉลาดแยบคายของพี่  ซึ่งเราก็อยากจะบอกกับพี่ว่า  พี่คือครูที่สมบูรณ์แบบที่สุดของโลก  เป็นครูเป็นพี่ผู้สร้างผู้ให้อย่างแท้จริง


...โชคดี...%

ธรรมคือวงเวียนชีวิตเธอ  ธรรมชาติเดิมแท้ของชีวิตที่มีของใครของมัน  ที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วจากตนเองที่ได้สร้างเอาไว้  จึงไม่มีใครรู้แทนใครได้  ชีวิตอื่นๆเขาก็มีแนวทางในแบบของเขา  ความเป็นเดิมแท้ของตนเองที่มีจุดเริ่มต้นจากการเกิด  เกิดขึ้นใหม่  ก็มีชีวิต  และความรู้สึกได้เข้าไปอาศัยรูปทรงใหม่  หมุนวนอยู่แบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด  ตอนแรกเกิดของชีวิตก็ไม่มีข้อมูลใดๆเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมือนกัน  เพราะความผันแปรของธรรมชาติที่เดินหน้าได้หมุนเป็นกาลเวลา  จุดเริ่มของเธอจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง  ชีวิตทุกชีวิตจึงได้เรียนรู้ใหม่  เริ่มค้นหาแสวงหาทางตนเอง  การค้นหาแสวงหาที่ไม่มี  ไม่รู้  ที่สิ้นสุด  เพราะไม่รู้ว่าที่สุดของการค้นหาตนเองคืออะไร  ทุกขณะที่ธรรมชาติเดินหน้าผันแปรผ่านมาวันแล้ววันเล่า  ชีวิตก็ถูกสังคมโลกตนเองดึงดูดเข้าไปติดกับการปรุงแต่งใหม่โดยไม่รู้สึกตัว  ธรรมที่เป็นธรรมชาติคือวงเวียนชีวิตเธอ  ได้ถูกเปลี่ยนวิถีแนวทางออกไป  สิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่ก็จดจำเอาไว้ได้ทุกอย่างบนโลก  โลกที่ปรุงแต่งขึ้นใหม่จึงมีเธอ  แต่อิสระที่อยู่เหนือโลกการปรุงแต่งที่เคยเป็นเธอ  เธอจึงเดินกลับมาไม่ได้


...โชคดี...%

เข้าใจกับทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่เรา  ทุกข์ที่มีกับทุกๆคนบนโลก  ที่ต้องการจะดับทุกข์พ้นทุกข์ที่มีในใจตนเอง  แต่ก็ไม่สามารถจะหมดทุกข์พ้นทุกข์ลงได้  ลองมาฟังสิ่งที่จะชี้ให้ดูว่า  ต้นเหตุของทุกข์ที่มีนั้น  ทุกข์ไม่ใช่เรา  เมื่อเราเข้าใจกับทุกข์ได้แท้จริง  ทุกข์นั้นก็จะคลายลงเอง  ความทุกข์เริ่มจากสิ่งที่ผูกรัดคล้องรัดตนเองกับสิ่งที่ผ่านมา  ยิ่งทำอะไรกับสิ่งที่ผ่านมา  สิ่งที่เป็นทุกข์ก็ยิ่งจะมีทุกข์เพิ่มขึ้นใหม่  หากว่าเธอเพียงรู้สึกถึงทุกข์ที่เกิดขึ้นได้  เธอไม่เข้าไปแตะกับทุกข์  ทุกข์ที่มีก็ไม่ได้หมดไปไหน  แต่ทุกข์เหล่านั้นจะไม่มีเธอที่ทุกข์ใจ  ที่ผูกรัด  ที่ข้องเกี่ยว  เธอได้ฟังเรื่องราวของผู้รู้  ผู้เล่า  ผู้บอก  ผู้อธิบาย  เรื่องทุกข์กันมาทั้งชีวิต  เธอดับทุกข์พ้นทุกข์ในใจตนเองได้แท้จริงหรือเปล่า  ได้ฟังครั้งหนึ่งก็หมดทุกข์ได้ครั้งหนึ่ง  เหมือนได้ซื้อกินตามท้องตลาดขณะหิวเพื่อที่เธอจะได้อิ่ม  อิ่มก็เหมือนดับทุกข์ให้เธอได้  พอกลับจากตลาดก็หิวขึ้นใหม่  การหลงซื้อของในตลาดกิน  มันไม่ช่วยให้เธออิ่มได้จริงๆหรอก  หากจะอิ่มได้แท้จริง  เธอต้องเข้าใจกับทุกข  ทุกข์ที่ไม่ใช่เธอ  มีแค่นี้


...โชคดี...%

เพราะไม่รู้มึงอยากจะรู้  แต่ไม่รู้มึงเห็นไม่ได้เพราะความอยากของมึงจึงเป็นทุกข์  มึงจะเข้าถึงทุกข์  หมดทุกข์  ตนเองได้อย่างไร  นี่คือทุกข์ของมึงไม่เกี่ยวกับกู  หากกูตอบก็เป็นเรื่องของกูอีก  ซึ่งไม่ใช่เรื่องมึง  แล้วกูควรตอบอะไรให้มี  ให้ได้สมอยากขึ้นอีก  สิ่งที่เธอถามขึ้นมาก็ล้วนผ่านมาแล้ว  ไม่มีแล้ว  หมดไปแล้ว  เราจะเอาอะไรไปตอบในสิ่งที่หมดลงแล้วให้มีขึ้นอีก  พวกเธอตามมาดูกับสิ่งที่ผ่านมาแล้วของเธอกัน  สิ่งที่ผ่านมาหากเธอยังไปเก็บเอามาเพื่อหาคำตอบ  คำตอบที่ได้มาก็ไม่ใช่ในสิ่งที่เธอถาม  รอบความรู้สึกของเธอตรงนี้  เธอได้เห็นทันกับมันได้ขนาดไหนความจริงก็จบลงแล้ว  เหมือนเธอได้แค่ดูผ่าน  รู้ผ่าน  จนแทบไม่รู้สึกตัวเลย  แต่ความเชื่อที่เธอเชื่อกับรู้ที่จดจำเอามา  มันซ้อนทับความจริงของเธอไปแล้ว  เลยข้ามความจริงออกมาไกล  เป็นความเชื่อที่รู้  ที่มีขึ้นใหม่  แต่เธอยังเห็นไม่ทันด้วยตนเอง  ทุกเรื่องราวของเธอที่รู้จึงอยากจะรู้  รู้จึงเป็นทุกข์  แต่ไม่รู้ก็เห็นไม่ทัน  เพราะไม่รู้นั้นหมดลงเอง  ความเชื่อก็หาย  เธอเดินตามมาดูกันทันหรือเปล่า  ว่าความจริงไม่ใช่ความเชื่อ


...โชคดี...%

ความเชื่อไม่ใช่เธอ  ความจริงนั้นคือเธอ   สิ่งที่ได้เรียนรู้มาตลอดแบบโลกของเธอ  เป็นเพียงสิ่งที่เธอได้พึ่งพาอาศัยตามโลกเท่านั้น  หากจะบอกตรงๆว่า  สิ่งทั้งหลายที่เธอรู้ตามโลกนั้นคือความเชื่อ  ที่ต้องอาศัยสมมุติปรุงแต่งร่วมกันเท่านั้น  ภาษาของเธอจึงถูกนำมาใช้แทนความจริงกับสิ่งที่รู้ที่ได้ยิน  สิ่งรู้ที่เห็น  แต่สำหรับความจริงที่เป็นธรรมชาติเดิมแท้ของเธอนั้น   ไม่มีภาษา  มีเพียงความรู้สึกที่รู้ขึ้นลอยๆในสภาพที่เห็น  และในสภาพที่ได้ยิน  แต่ทุกขณะที่เธอรู้อะไรขึ้นมา  เธอจะนำความเชื่อตามโลกที่เธอปรุงแต่งภาษาขึ้นใหม่  นำเข้ามาสวมใส่ในสิ่งรู้  และลงรายละเอียด  เกิดความหมายจนเข้าใจได้ในสิ่งรู้ของเธอที่เห็น  และที่ได้ยิน  ความเชื่อไม่ใช่เธอ  เธอจะเห็นไม่ทันในสภาพปัจจุบันของเธอ  จะหลงยึดมั่น  ครอบครอง  ผูกรัด  เป็นอุปาทานกับโลกที่ได้เรียนรู้ทันที  เธอจะมองเห็นไม่ทันกับความจริงที่เป็นเธอได้เลย  ลองเปิดใจรับฟังในสิ่งที่จะชี้ให้พวกเธอได้ดู  ความจริงนั้นคือเธอที่สมบูรณ์อยู่แล้ว  แต่เธอข้ามผ่านมาจนมองไม่เห็นได้ด้วยตนเอง


...โชคดี...%

ธรรมนั้นคือสิ่งที่ดี  มีอยู่กับพวกเธอทุกคนแล้ว   เธอจะเชื่อหรือไม่ว่า   ธรรมชาติของชีวิตเธอนั้นคือสิ่งที่ดี  ที่สมบูรณ์อยู่แล้ว  ชีวิตของเธอนั้นเพียงสิ่งเล็กๆที่เธอรู้สึกได้เพียงลำพัง  ใช้เนื้อที่น้อย  มีความพอดี  พอเพียง  ที่สมบูรณ์  พึ่งพาอาศัยสภาพธรรมตามธรรมชาติคือความจริงตนเอง  แต่สภาพธรรมของคนทุกวันนี้  วิถีชีวิตความพอดีพอเพียงการพึ่งพาอาศัยความจริงได้หายไป  ธรรมที่เคยเป็นธรรมชาติที่ดีของเธอได้หายไป  ชีวิตของคนในยุคนี้  ได้ถูกความเชื่อหล่อหลอมให้ยึดติดยึดมั่นผูกรัดเธอเอาไว้กับโลก  โลกที่ปรุงแต่งขึ้นใหม่  โลกที่คนได้เรียนรู้  รู้ของโลกในยุคนี้จึงเปลี่ยนสภาพความจริงออกไป  เพราะรู้นั้น  ก็อยากหาคำตอบกับรู้  รู้ที่ไม่รู้จักพอ  รู้จึงใช้เนื้อที่มาก  เหมือนเธอรู้เรื่องโลกทั้งโลก  แต่ทั้งโลกที่เธอรู้ก็ยังหาความพอดีพอเพียงกับรู้ของเธอไม่ได้  ไม่มีคำตอบกับโลกที่เธอบอกว่ารู้  เธอจะยอมเปิดใจวางรู้ที่เชื่อของเธอลงก่อนไหม  มาดูความจริงว่าธรรมนั้นคือสิ่งที่ดีมีอยู่กับเธอ  เธอจะได้กลับมาเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ของเธอได้เอง


...โชคดี...%

ตื่นจากความเชื่อกันเสียที   ตื่น...ตื่น...ตื่นกันได้แล้วพวกเธอ  นอนฝันหวาน  ฝันค้าง  ฝันร้ายมาทั้งชีวิตแล้ว  ตื่นลืมตาได้แล้ว  มาดูความจริงของตนเอง  อย่ามัวแต่หลับตาฝันกันอยู่เลย  ความฝันที่นึกคิดคาดเดาเอาเองนั้นไม่ใช่เธอ  ความฝันเป็นความเชื่อ  ที่ถูกเขาเสี้ยมสอนชักจูง  จนเธอเพ้อฝันคิดเอาเองไปแล้ว  ลืมตาได้แล้วพวกเธอ  มาดูสภาพความจริงของโลกที่เป็นเธอดีกว่า  "ความจริงคือสิ่งไม่รู้"  แต่ความเชื่อเป็นสิ่งรู้ที่เธอหลงใหล  เห็นได้ทันกับการที่ถูกเขาชักจูงให้เพ้อฝันได้เองหรือยัง  ภาษาที่ถูกเขานำมาใช้ปรุงแต่งสนตะพายเธอจนเพ้อพร่ำพรรณนาเอาเอง  อุปาทานเอาเองจนเข้าใจไปแล้วว่า  "จบกิจหมดสงสัย"  คำๆนี้มีความหมายในใจเธอเข้าแล้ว  เห็นความฝันลมๆแล้งๆของตนเองได้จริงๆหรือเปล่ากับคำ  และภาษาที่ใครก็ไม่รู้มาปรุงแต่งให้เธอ


...โชคดี...%

ธรรมะของกู   ยุคของความเสื่อมกับธรรมะของกู  ที่ทะเลาะกันระหว่างอาจารย์กับศิษย์  เพราะแย่งชิงผลประโยชน์  มีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ  "ธรรมะของกู"  จึงมีเรื่องราวขึ้นมา  คำว่า "กู"  ก็ไม่ได้หมายถึงเรา  สำหรับเราที่มาบรรยายได้เคยชี้ให้ดูแล้ว  คำว่า  ธรรมะ  หรือธรรมนั้นไม่ได้มีภาษา  ไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของเปรียบเสมือนว่า  ไม่มีธรรม  หรือธรรมะใดๆที่มีอยู่  มีเพียงธรรมชาติความรู้สึกของชีวิต  ที่มีที่รู้ในขณะหนึ่ง  ได้ผันแปรไปแล้วนั้น  พวกเธอลองมาฟังนิทานปรุงแต่งกับเรื่องราวแบบนี้  ภาษาที่นำมาใช้ที่ว่า  "ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเรา"  ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอวดมาโชว์กัน  กล่าวอ้างจนเกิดเป็นธรรมะของกูขึ้นใหม่  เมื่อสำนักธรรมะที่หวังหาผลประโยชน์  ค้าธรรม  ตัวผู้นำที่เป็นอาจารย์ก็จะหว่านล้อมลูกศิษย์  ให้หลงใหลในธรรมะของกู  ทำนายทายทักเขาให้ได้สมใจ  ได้ประโยชน์  แล้วใช้ศิษย์ไปหาผลประโยชน์ต่อให้ตนเอง  ธรรมะของกูจึงแพร่หลายออกไปได้เร็ว  ผลประโยชน์ที่นำมาสู่ความเสื่อม  จนสุดท้ายความขัดแย้งกันในผลประโยชน์ที่รุนแรงจึงกล่าวร้ายป้ายสีกัน  อวดโชว์กัน  ว่าธรรมะของกู  อย่ามาลอกของกู  เอาไปหากิน


...โชคดี...%

ไม่รู้ไม่มีโว้ย   ไม่รู้ไม่มีเรื่องราวหมดลงแล้ว  เธออยากจะรู้อะไรให้มีหนักหนา  รู้ของเธอที่บอกว่ารู้  เธอได้รู้อะไร  มันใช่เธอจริงๆหรือเปล่ากับเรื่องราวตรงนั้น  ลองหันกลับไปดูเสียใหม่  รู้ที่เธอบอกว่ารู้ตรงนั้น  รู้มันมาจากไหน  เราก็เตือนเอาไว้ตลอดว่า  "รู้อะไรไม่ใช่เธอ"  สิ่งที่เธอพร่ำบ่นพรรณนาว่ารู้  รู้ของเธอตรงนั้นมันจะนำทุกข์มาสู่เธอ  เห็นได้ทันหรือยัง  รู้ของใครก็รู้ของเขา  มันไม่ใช่เรื่องของเธอ เธอเห็นได้เองหรือไม่  ดันทุรังไปแบกรู้ของเขาเข้าให้แล้ว  สิ่งที่ไม่รู้ไม่มีจึงมีเธอเป็นผู้รู้  งมอยู่กับรู้ของเขา  วนๆอยู่กับรู้ที่มีเธอ  ดันเข้าไปแบกรู้เรื่องราวของชาวบ้านเข้าแล้ว  ยิ่งรู้ก็ยิ่งมี  ยิ่งมีก็ยิ่งทุกข์  แล้วมาถามเราว่าจะทำอย่างไรกับทุกข์ที่มีที่รู้ของเธอ  ทำใจสิจ๊ะ  พ่อจ๋า  แม่จ๋า  ถ้ายังชอบเสือกเรื่องของชาวบ้านเขาอยู่  ยังอยากจะรู้  อยากจะมีอยู่แบบนี้ก็คงได้ไปที่ชอบที่ชอบของเธอตรงนั้น  เพราะพวกเธอคงฟังเรื่องราวของเราที่ชี้ให้ดูยังเข้าใจเองไม่ได้  กับคำเตือนที่ว่า  "ไม่มีไม่รู้โว้ย ย ย ย"


...โชคดี...%